Internet of Things 24 ชั่วโมง ชีวิตติดเน็ต

  • เทคโนโลยี
  • January 15, 2019
Internet of Things 24 ชั่วโมง ชีวิตติดเน็ต
เมื่อโลกได้เดินหน้าเข้าสู่ยุค ‘อินเทอร์เน็ตเชื่อมทุกสรรพสิ่ง’ อยากช้อปปิ้งก็แค่หยิบสินค้าแล้วเดินออกจากร้าน ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องมีแคชเชียร์ ปล่อยให้อุปกรณ์ต่างๆ คุยกันเอง...แล้วชีวิตจะง่ายกว่านี้ได้อีกไหม?

มีใครเคยนั่งนับไหมว่า แต่ละวันเราใช้เวลาไปกับโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดกี่ชั่วโมง แล้วมีใครบ้างที่จับสมาร์ทโฟนเพื่อเช็คความเป็นไปบนโลกออนไลน์เป็นอย่างแรกหลังตื่นนอน และอย่างสุดท้ายก่อนเข้านอน

‘ปรากฏการณ์ชีวิตติดเน็ต’ พบเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นกว้างไกลขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์ต่างๆ มีความฉลาดมากขึ้น ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม ข้อมูลจาก Invesp แสดงให้เห็นว่า ผู้คนใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์เฉลี่ยถึง 4 ชั่วโมง 25 นาทีต่อวันเลยทีเดียว

 

นอกจากอินเทอร์เน็ตจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนได้แล้ว ทุกวันนี้ อินเทอร์เน็ตได้ไปไกลกว่านั้น เพราะสามารถใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลากหลายผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า Internet of Things (IoT) หรือ ‘อินเทอร์เน็ตเชื่อมทุกสรรพสิ่ง’ ทำให้อุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆ ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ มนุษย์ก็สามารถสั่งการอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา

ยกตัวอย่างเทคโนโลยี ‘SmartThings’ ของ ‘ซัมซุง’ ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยี IoT เพื่อให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น สมาร์ททีวี ที่ถูกออกแบบให้ฉลาดขึ้น ซึ่งนอกจากจะใช้ดูโทรทัศน์แล้ว ยังสามารถใช้ท่องโลกอินเทอร์เน็ต ชมคลิปวิดีโอยูทูบ (Youtube) ดูหนังออนไลน์ เล่นเกมแบบสตรีมมิง (Streaming) หรือเข้าเฟซบุ๊ก (Facebook) ได้อีกด้วย

เมื่อเดินเข้าครัว ก็มีตู้เย็นอัจฉริยะซึ่งมาพร้อมกับหน้าจอทัชสกรีนและแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ช่วยแนะนำเมนูอาหารจากสิ่งที่เหลือในตู้เย็น โชว์สูตรทำกับข้าว เลือกปรับความเย็นของช่องแช่ให้ต่างกัน แถมยังติดตั้งกล้องไว้ดูภาพสิ่งของที่แช่ไว้ในตู้เย็น จะได้ไม่ต้องคอยเปิด-ปิดตู้เย็นบ่อยๆ และที่ล้ำไปกว่านั้น คือ เราสามารถกดสั่งซื้อของจากร้านค้าออนไลน์ได้เลย

อีกทั้ง เจ้าตู้เย็นแสนฉลาดนี้ยังใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ ทำให้เราสามารถเช็คสิ่งของในตู้เย็นได้ทุกเวลาที่ต้องการ หากออกไปช็อปปิ้งที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เราจะได้รู้ว่ามีอะไรบ้างที่ต้องซื้อมาเติม หรือหากวันไหนทำกับข้าวเบื่อๆ ก็เปิดเพลงฟังหรือเปิดหนังดูไปด้วยก็ได้ เพราะสามารถใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ททีวีได้เช่นกัน

บทบาทของเทคโนโลยี IoT ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในบ้านเท่านั้น ทว่ายังถูกนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วย เช่น การสั่งเปิด-ปิดไฟในสำนักงานจากข้างนอก การปรับโทนแสงไฟไม่ให้เป็นผลเสียต่อสายตาของพนักงาน การตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรจากทางระยะไกล การติดตามสินค้าที่อยู่ระหว่างการจัดส่ง เป็นต้น

ธุรกิจค้าปลีกเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับจากเทคโนโลยี IoT อย่างชัดเจน เช่นในกรณีของ ‘Amazon’ บริษัท E-commerce ยักษ์ใหญ่ของโลก ที่สยายปีกมาเล่นในสนามธุรกิจค้าปลีกแบบมีหน้าร้าน Amazon ได้เปิดตัวร้านค้าต้นแบบไอเดียบรรเจิดชื่อ ‘Amazon Go’ ที่ใช้เทคโนโลยี IoT เชื่อมต่อกับเซนเซอร์ของกล้อง การระบุข้อมูลโดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ (RFID) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน

ลูกค้าที่จะซื้อของในร้าน Amazon Go เพียงแค่สร้างบัญชีในแอปพลิเคชันของ Amazon Go เพื่อใช้ผ่านเข้าร้าน และมีสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต จากนั้นก็แค่แตะมือถือผ่านเข้าร้านไปหยิบของที่ต้องการแล้วเดินออกไปได้เลย ไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงินกับแคชเชียร์ให้เสียเวลา เพราะกล้องกับเซนเซอร์จำนวนมากจะตรวจจับและวิเคราะห์ว่าลูกค้าหยิบสินค้าอะไรบนชั้น ก่อนจะคิดเงินอัตโนมัติแล้วแจ้งไปยังสมาร์ทโฟนของลูกค้าเอง

ถึงแม้ว่าระบบของ Amazon Go อาจจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ TDPK กลับมองเห็นแนวโน้มว่า ในอนาคตชีวิตของเราแทบจะขาด IoT ไม่ได้ และอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะถูกพัฒนาให้สามารถสื่อสารกันเองมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค หากยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ รวมถึงเพิ่มรายได้ให้กับผู้ที่มองเห็นโอกาสอีกด้วย

Tags

    You May Like

    ติดต่อทีมงานทรู ดิจิทัล พาร์ค

    หรือเข้าชม สถานที่