หากพูดถึงวงการอวกาศช่วงศตวรรษที่ 20 เราจะได้เห็นแต่ผลงานของผู้ชายผิวขาว แต่ในเมื่อนี่คือศตวรรษที่ 21 แล้ว วงการอวกาศ รวมทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหลายก็มองข้ามผู้หญิง หรือคนสัญชาติอื่นๆ ไม่ได้แล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้ส่งดาวเทียมสำรวจโฮปไปดาวอังคาร โดยใช้เวลาเดินทาง 7 เดือน ก่อนที่จะได้ไปถึงดาวอังคารเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ภายใต้การนำของ ซาราห์ อัล อามิรี ที่นอกจากจะเป็นรมต. ด้านวิทยาศาสตร์ชั้นสูงแล้ว ยังได้รับตำแหน่งประธานองค์การอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย
อามิรี มีความสนใจด้านอวกาศตั้งแต่อายุ 12 ปี เมื่อได้เห็นภาพของแกแลคซี่ Andromeda ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 2.5 ล้านปีแสง หลังจากนั้นในปี 2552 เธอเรียนจบด้านการเขียนโปรแกรม และได้เข้าร่วมโครงการอวกาศอาหรับที่เพิ่งจะเริ่มเบ่งบานในช่วงนั้น เธอได้เข้าทำงานกับองค์การอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAESA (เทียบเท่ากับนาซ่าของสหรัฐ) และได้เริ่มงานเป็น software engineer เมื่อตอนอายุ 22 ปี ด้วยความสามารถที่โดดเด่น อามิรีก็ได้รับตำแหน่งประธานของ UAESA ในปี 2563 ตอนที่อายุ 33 ปี
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือได้ว่าเป็นประเทศที่สนับสนุนความเท่าเทียบกันทางเพศอยู่ในระดับค่อนข้างดี ถึงแม้จะอยู่ในโซนโลกมุสลิม เห็นได้จากความพยายามของรัฐบาลที่สร้างความเท่าเทียบกันในทุกภาคส่วน
โปรเจคโฮป นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของการบุกเบิกอวกาศของ UAE แล้ว ยังเป็นสัญญาณบอกความเสมอภาคทางเพศในที่ทำงานอีกด้วย เพราะทีมงานของอามิรีประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์หญิง 80% เธอบอกว่าเราได้เห็นผู้หญิงออกจากโปรแกรม STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) บ่อยครั้งนัก เราทุกคนควรตระหนักว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องทำอะไรกับมัน เพื่อให้ผู้หญิงอยากทำงานด้านวิทยาศาสตร์ และไม่รู้สึกว่านี่คืองานของผู้ชาย
อามิรีอยากเห็นผู้หญิงที่สนใจด้าน STEM ได้รับโอกาสและได้กำลังใจที่จะทำงานด้านนี้ต่อไป และหวังว่าคนรุ่นใหม่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และทั่วภูมิภาคอาหรับจะหันมาสนใจวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนและในการศึกษาระดับสูงขึ้น
UAE เป็นชาติแรกในตะวันออกกลางที่ส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารได้สำเร็จ โดยมีเป้าหมายหลัก ที่จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โครงการนี้แสดงให้เห็นเจตนาของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะลดการพึ่งพาน้ำมันและแก๊ส และหันไปให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจที่ต้องใช้วิทยาการแทน
ที่มา: Time, BBC
Tags