Digital Marketing คืออะไร ทำไมถึงควรเข้าใจและเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้?

“digital marketing คืออะไรกันแน่?” คงเป็นคำถามที่คนทำธุรกิจ นักการตลาด รวมถึงบล็อกเกอร์ และคนทั่วไปในยุคนี้นึกถึงทุกครั้งที่ต้องเริ่มทำแคมเปญการตลาดใหม่ๆ ไปจนถึงเข้าร่วมงานสัมมนาที่จัดขึ้นเรื่องการตลาดออนไลน์ ไม่ก็เป็นหัวข้อการพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนสนิทว่า “ปรึกษาหน่อยสิ เรากำลังจะวางแผนทำ digital marketing แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรและโฟกัสไปที่ตรงไหน ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี”  

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจในเรื่อง digital marketing หรือที่หลายคนมักเรียกกันติดปากว่า “การตลาดออนไลน์” ว่าจริงๆ แล้วเจ้ากลยุทธ์การตลาดที่กำลังบูมมากในยุคดิจิทัล 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีมากมายเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตทุกช่วงของลูกค้า ผ่านทางสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต รวมถึงคอมพิวเตอร์ นั้นเป็นอย่างไร

Digital marketing คืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดในปัจจุบัน?

digital marketing คือการทำกิจกรรมทางการตลาดบนสื่อดิจิทัล ซึ่งมักทำผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์ IoT ที่เริ่มมีใช้อย่างแพร่หลาย ด้วยการเผยแพร่ข้อความ บทความ รูปภาพ และวิดีโอของแบรนด์บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชัน อีเมล และเว็บไซต์ เป็นต้น เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สาเหตุที่ทำให้เจ้าของธุรกิจหน้าใหม่ บริษัทขนาดใหญ่ ไปจนถึงองค์กรภาครัฐหันมาทำ digital marketing กันมากขึ้น ก็มาจากการที่ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่ตลอดเวลา อ้างอิงข้อมูลจาก We Are Social และ Hootsuite ที่ได้เปิดเผยสถิติอันน่าสนใจในปี 2021 ว่า คนไทยใช้เวลาเฉลี่ย 8 ชั่วโมง 48 นาที ต่อ 1 วัน ในการเข้าถึงสื่อบนอินเทอร์เน็ต โดยมีการเข้าถึงด้วยมือถือ 60.2% คอมพิวเตอร์ 37.4% และแท็บเลต 2.3% ตามลำดับ

7 ช่องทางในการทำ digital marketing ที่มีประสิทธิภาพสูง

เราจะมาแนะนำช่องทางการทำ digital marketing ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่คุณอาจเคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเลือกช่องทางอันเหมาะสมสำหรับธุรกิจ เพื่อทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก มีคนสนใจ หรือจนถึงขั้นหันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง โดยมี 7 ช่องทางดังนี้

1. social media platforms

ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ผู้ใหญ่วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ ทุกคนต่างก็เล่นโซเชียลมีเดียกันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ Facebook, Youtube, Instagram, Line รวมถึง Tiktok ที่กำลังฮิตติดลมบนในหมู่วัยรุ่น ซึ่งทำให้แบรนด์ธุรกิจจำนวนมากลงมือทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียอย่างจริงจังมาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากพวกเขามองเห็นโอกาสมากมายจากช่องทางดังกล่าว ประกอบกับการดูสถิติที่น่าสนใจต่อไปนี้ 

• โดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วไปจะมีบัญชีโซเชียลมีเดีย 8 บัญชี
• 2 ชั่วโมง 48 นาที คือเวลาเฉลี่ยที่คนไทยใช้ไปกับการเล่นโซเชียลมีเดียในแต่ละวัน
• คนไทย 55 ล้านคน มีการใช้โซเชียลมีเดีย หรือคิดเป็น 78.7% จากประชากรทั้งประเทศ

นักการตลาดมักใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักด้วยการทำคอนเทนต์หรือแคมเปญโฆษณา (paid ad) ที่ตรงกับความชอบ ความสนใจ ของคนในแต่ละกลุ่ม ถึงแม้ว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน แต่นักการตลาดก็สามารถกำหนดการเผยแผร่คอนเทนต์ให้แสดงได้อย่างตรงกลุ่มด้วยการระบุเพศ อายุ อาชีพ ความสนใจ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โซเชียลมีเดียยังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการไปยังลูกค้าหรือใครก็ตามที่กดติดตามแฟนเพจหรือบัญชีของคุณอยู่ให้เกิดการรับรู้แบบออร์แกนิก และใช้กระตุ้นให้ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ด้วยการตอบคำถามของลูกค้าอย่างจริงใจพร้อมแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา แน่นอนว่าการทำแบบนี้จะทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์เชิงบวกต่อแบรนด์และธุรกิจของคุณอย่างมาก

2. search engine optimization (SEO)

การทำ SEO หรือ search engine optimization นับเป็นช่องทางหนึ่งที่นักการตลาดส่วนใหญ่มักเลือกทำควบคู่ไปกับ content marketing นั่นก็เพราะว่าเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอะไรก็ตาม พวกเขาจะใช้ Google (search engine) เพื่อค้นหาสิ่งที่ตรงกับความชอบและมีรายละเอียดตรงกับที่อยากได้มากที่สุด จากสถิติที่น่าสนใจพบว่า

• 99% ของคนไทยใช้ search engine ค้นหาสิ่งที่ต้องการผ่านทางอินเทอร์เน็ต
• 60.2% ของคนไทยเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ผ่านมือถือ

นั่นหมายความว่าหากคุณสามารถทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะต่อการค้นหาของกูเกิ้ล สินค้าหรือบริการที่แบรนด์ของคุณทำการตลาดอยู่ ก็มีโอกาสที่จะไต่ขึ้นไปอยู่ใน 3 ผลลัพธ์แรกของการค้นหาของ Google ได้ ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลโดยตรงต่อยอดขายรวมถึงยอดใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดการทำแคมเปญ SEO 

3. content marketing

content marketing ช่วยให้ทีมการตลาดสามารถตอบคำถามของผู้ใช้ได้ในเชิงรุก ด้วยการสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบบทความ รูปภาพ วิดีโอ และอะไรก็ตามที่ช่วยตอบคำถามหรือทำให้ผู้บริโภคเข้าใจในสิ่งที่แบรนด์สื่อสารได้ โดยพิจารณาจาก buyer's journey ที่มี 3 ขั้นตอน ได้แก่

• awareness stage: ผู้ซื้อรู้ตัวว่าต้องการสิ่งนี้

• consideration stage: ผู้ซื้อมองหาช่องทางเพื่อตอบสนองความต้องการนี้
• decision stage: ผู้ซื้อตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการ

ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภครู้ตัวว่าจะต้องมองหาแว่นตาใหม่ที่สามารถกรองแสงสีฟ้าได้ และต้องมีราคาไม่แพงจนเกินไป ต่อมาเขาได้เห็นโฆษณาของร้านแว่นตาแห่งหนึ่งระบุว่า “xxxx มีเลนส์รุ่นใหม่ที่สามารถกรองแสงสีฟ้า แสงยูวี และปรับสีเลนส์ให้เข้มขึ้นตามสภาพแสงแดดได้” 

ในช่วงแรกผู้บริโภคอาจไม่ได้สนใจเลนส์รุ่นนี้มากนัก แต่พอเขาได้ค้นหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติม ท้ายที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะตัดสินใจเลือกซื้อเลนส์ที่มาพร้อม 3 คุณสมบัติเด่นข้างต้น ทั้งที่เลนส์รุ่นนี้มีราคาสูงกว่าเลนส์ที่ตั้งใจจะซื้อในตอนแรกอยู่พอสมควร

4. pay-per-click (PPC)

pay-per-click คือรูปของการโฆษณาแบบ paid ad ชนิดหนึ่งที่ทำบน Google ซึ่งมีชื่อเรียกกันติดปากว่า Google PPC สิ่งนี้จะช่วยให้ทีมการตลาดสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้เข้ามาชมเว็บไซต์ของแบรนด์นั้นๆ โดยทุกครั้งที่มีคนคลิกลิงก์ที่อยู่บนหน้าผลลัพธ์การค้นหาในหน้าแรกของ Google จะมีการหักค่าธรรมเนียมโฆษณา จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่นักการตลาดกำหนดไว้ในตอนสร้างแคมเปญ

5. influencer marketing

การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ นับเป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงมากในยุคที่ใครๆ ต่างก็ชอบฟังเสียงของคนใช้จริงบนโลกออนไลน์ ยิ่งแบรนด์ไหนดีลกับคนดัง เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการที่มีไลฟ์สไตล์เหมาะสมกับสินค้าและผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้แล้ว อินฟลูฯ คนดังกล่าวก็จะเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ผู้ติดตามสนใจในสินค้ารวมถึงข้อเสนอของแบรนด์อย่างมาก โดยผู้บริโภค 9 จาก 10 คน แสดงความคิดเห็นว่าการทำตลาดด้วยอินฟลูฯ ทำให้พวกเขารู้สึกดีต่อแบรนด์นั้นๆ มากกว่าที่ได้รู้จักผ่านช่องทางอื่น

6. affiliate marketing 

affiliate marketing มีรูปแบบคล้ายกับการใส่รหัสผู้แนะนำที่เพื่อนให้คุณมาไว้ใส่ในขั้นตอนการซื้อสินค้าหรือบริการอะไรก็ตามที่เพื่อนคนนั้นใช้อยู่ แล้วเพื่อนคนที่ให้รหัสมาก็จะได้โบนัสหรือค่าตอบแทนจากการที่คุณซื้อสินค้านั้นๆ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นแบรนด์หันไปจับมือกับบุคคลหรือบริษัทอื่น เพื่อให้พวกเขาโปรโมตผลิตภัณฑ์ตามที่ตกลงไว้ โดยคนที่รับโปรโมตก็จะได้ค่าคอมมิชชันจากยอดขายที่มีต้นทางมาจากแพลตฟอร์มของผู้รับทำ affiliate marketing

อาจพูดได้ว่า affiliate marketing เป็นการตลาดที่ช่วยลดต้นทุนไปพร้อมๆ กับการโปรโมตสินค้าและบริการอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้เสมอว่าชื่อเสียงของแบรนด์คุณกำลังอยู่ในมือของผู้อื่น คุณจึงต้องคอยตรวจสอบและติดตามผลอย่างใกล้ชิด

7. email marketing

email marketing ช่วยให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงลูกค้าปัจจุบันไปจนถึงผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าใหม่ได้ตลอดเวลา ด้วยการส่งอีเมลพร้อมด้วยข้อเสนอที่ผ่านการออกแบบให้เหมาะสมกับประวัติการซื้อ หรืออาจเป็นเรื่องที่ลูกค้าเคยมีความสนใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น แบรนด์ได้ส่งอีเมลพร้อมแนบส่วนลด 20% สำหรับสินค้าที่ลูกค้าเคยใส่เอาไว้ในรายการโปรด หรือใส่ไว้ในตะกร้าเพื่อรอชำระเงิน นี่เป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งผู้บริโภคเกือบ 60% เปิดเผยว่า ข้อเสนอที่พวกเขาได้รับผ่านทางอีเมลมีส่วนอย่างมากที่ทำให้พวกเขาเลือกซื้อสินค้าโดยทันที

พัฒนาทักษะการทำ digital marketing ที่ House of Digital Academy

คุณคงเข้าใจแล้วว่า digital marketing มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ SME หรือสตาร์ตอัปที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นสร้างธุรกิจ ทุกคนล้วนต้องทำการตลาดผ่านทั้ง 7 ช่องทางที่เราอธิบายมาทั้งหมด เพื่อสร้างการรับรู้ โปรโมต นำเสนอโปรโมชัน รวมถึงรักษาความสัมพันธ์อันดีที่มีกับลูกค้า

หากคุณเป็นคนที่ทำงานอยู่ในสายงาน digital marketing และกำลังต้องการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการตลาดยุคดิจิทัลให้ดียิ่งขึ้น คุณก็สามารถมาเข้าคอร์สต่างๆ ที่ House of Digital Academy จัดขึ้นตลอดทั้งปีได้ เรายินดีช่วยให้คุณมีความสามารถและพร้อมสำหรับการเติบโตในยุคนี้ ดูคอร์สทั้งหมด