ในโลกที่อะไรๆ ก็มุ่งไปสู่ความเป็น digital จนทำให้หลายคนมีไอเดียอยากทำธุรกิจ startup ที่ต่างออกไปจากธุรกิจแบบเดิม ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่า “startup” คือคำที่ถูกพูดถึงในหมู่คนรุ่นใหม่รวมถึงบรรดานักธุรกิจนั้น แท้จริงแล้วคำคำนี้มีอะไรที่มากกว่าความทันสมัยหรือฟังแล้วดูเท่อยู่บ้าง?
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ความเป็นมาของคำว่า startup ไปจนถึงความแตกต่างระหว่าง startup กับ SME และรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำยอดฮิตดังกล่าวที่ไม่ว่าใครก็เคยได้ยินในปัจจุบัน เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจในเรื่อง startup ผ่านบทความนี้เอง
ถ้าให้อธิบายอย่างตรงไปตรงมา startup ก็คือ บริษัทขนาดเล็กที่ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่ซ้ำใคร ควบคู่กับการนำนวัตกรรมและความคิดใหม่ๆ มาปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังสามารถอธิบายนิยามของ startup ได้เพิ่มเติมอีกว่า
startup คือ บริษัทเกิดใหม่ที่กำลังดำเนินงานอยู่ในขั้นตอนแรกของแผนพัฒนาธุรกิจ ซึ่งมักจะได้รับเงินทุนจากองค์กรใหญ่หรือนักลงทุนอิสระในช่วงการเริ่มต้นธุรกิจ โดย startup ที่พวกเรารู้จักมักเริ่มต้นธุรกิจด้วยคุณลักษณะเด่น 2 ข้อ นั่นคือ
ทีนี้ลองดูรายชื่อ startup ที่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน จะพบว่าส่วนใหญ่มุ่งเน้นการทำธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของตลาดด้วยการเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อีคอมเมิร์ซ การสื่อสาร การแพทย์ และความบันเทิง ที่ได้เข้ามาอำนวยความสะดวกและสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค
ในฝั่งของ SME หรือ Small and Medium-sized Enterprise นั้น ถือเป็นองค์กรรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมาอย่างยาวนาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
เรารู้ว่าคุณคงแอบสงสัยอยู่ในใจว่าธุรกิจ startup ที่มีอยู่ปัจจุบัน จริงๆ แล้วแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภทกันแน่ จะต้องเจาะจงไปที่เรื่องไหน หรือใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวชี้วัด เอาล่ะ ถ้าคุณอยากรู้คำตอบว่า startup มีกี่ประเภท เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเอง
startup ประเภทแรกนี้เป็นอะไรที่คุณอาจร้องอ๋อทันที เมื่อเราพูดถึงชื่อของบริษัทที่เติบโตจาก startup จนก้าวมาเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีลูกค้ามากมายอยู่ทั่วโลก ซึ่งได้แก่ Google, Facebook และ Twitter นั่นก็เพราะว่าบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้มีผลิตภัณฑ์และบริการที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ จนได้รับเงินทุนจากนักลงทุนและเติบโตจนสามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว
startup ประเภทนี้ก่อตั้งขึ้นโดยคนธรรมดาทั่วไปและใช้เงินทุนที่ตัวเองมีมาเริ่มต้นธุรกิจ ส่วนใหญ่แล้วมักมีการเติบโตตามจังหวะและโอกาสที่เข้ามา อาจมีแค่เฉพาะเว็บไซต์แต่ไม่ได้มีแอปพลิเคชันให้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายของแฮนด์เมด ร้านขนมปัง หรือตัวแทนจำหน่ายแพ็กเกจท่องเที่ยว เป็นต้น
คนที่มีงานอดิเรกและชอบที่จะได้ทำงานในสิ่งที่พวกเขารัก มักลงเอยด้วยการเริ่มทำ lifestyle startups ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของ startup ประเภทนี้ได้แก่ คนที่หลงใหลในการออกกำลังและโภชนาการได้หันมาเปิดโรงเรียนสอนเต้น ออกกำลัง หรือโยคะ เพื่อดึงคนรักสุขภาพเข้ามาลงคอร์สที่ทำให้มีรูปร่างและสุขภาพดี ด้วยการออกกำลังและกินอาหารที่เหมาะสมกับพื้นฐานร่างกายของแต่ละคน
เชื่อไหมว่าในวงการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ มีหลายบริษัทที่ถูกออกแบบมาตั้งเริ่มต้นว่าต้องการจะขายธุรกิจให้กับบริษัทที่ใหญ่กว่าในภายหลัง เช่น ยักษ์ใหญ่ในฝั่งอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มขนส่งอย่าง Uber ได้ค้นหาสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่มีจุดเด่นและสามารถซื้อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เพียงเพื่อต้องการพัฒนาบริษัทแม่ให้มีความสามารถการแข่งขันในอนาคตมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ที่ใกล้จะหมดความสามารถในการแข่งขัน จากปัจจัยเรื่องเทคโนโลยี พฤติกรรมของลูกค้า ตลอดจนคู่แข่งหน้าใหม่ที่เข้าสู่ตลาด นั่นทำให้องค์กรขนาดใหญ่หันมาพลิกโฉมโมเดลการทำธุรกิจด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีนวัตกรรม ซึ่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี
แค่ชื่อก็พอจะบอกได้แล้วว่า social startups ก่อตั้งขึ้นเพื่อคอยช่วยเหลือและทำความดีต่อสังคม โดยตัวอย่างสตาร์ทอัพที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ก็คือ Blisser แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ใช้เข้ากับบรรดาบุคคลมีชื่อเสียงจากหลากหลายวงการ เช่น ดารา นักร้อง ฯลฯ ที่เข้ามาขายผลงานศิลปะ ทั้งรูปภาพ รูปวาด หรือวิดีโอพิเศษ และผลกำไรบางส่วนจะถูกบริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่ผู้ซื้อได้เลือกไว้ตั้งแต่แรก
startup เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร? startup มีจุดกำเนิดที่ศูนย์รวมบริษัทเทคโนโลยีของโลกอย่าง “ซิลิคอนวัลเลย์” ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง startup ยุคแรกๆ ที่ได้ขยายขนาดจนสามารถเติบโตมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน นั่นก็คือ IBM หรือ International Business Machines ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1911 หรือเมื่อ 111 ปีที่แล้ว
แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง startup ที่เกิดขึ้นมายุคที่เทคโนโลยีกำลังเฟื่องฟูเต็มที่ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ก็มีชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นหู ทั้ง Amazon รวมถึง Google ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้ใช้เทคโนโลยีควบคู่กับอินเทอร์เน็ตที่กำลังบูมในยุคนั้น นำมาพัฒนาจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก
ความเป็น startup จะสิ้นสุดลงเมื่อไร? แท้จริงแล้วเป้าหมายของการตั้ง startup ก็คือการขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ จนมีลักษณะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ (enterprise) ที่มีคนรู้จักรวมถึงใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างแพร่หลาย ซึ่งระยะเวลาที่ก้าวไปสู่จุดนั้นของ startup โดยทั่วไป จะใช้เวลาราว 4-10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าสามารถผ่านเกณฑ์ “The 50-100-500 rule” ของ Alex Wilhelm ที่กำหนดไว้ทั้งหมด 3 ข้อได้หรือเปล่า ซึ่งได้แก่
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่กำลังไล่ตามความฝันว่าอยากเริ่มธุรกิจ startup ด้วยการใช้ไอเดียสุดสร้างสรรค์ หรือได้เริ่ม startup ไปแล้วและต้องการใครสักคนที่รู้และเชี่ยวชาญมาคอยให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง พวกเราทุกคนที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค พร้อมจะช่วยทุกคนที่สนใจใน startup เพียงแค่เข้ามาพูดคุยปรึกษากับเราโดยตรง
ปัจจุบัน ทรู ดิจิทัล พาร์ค มี unicorn ซึ่งเป็นชื่อเรียก startup ที่มีมูลค่ามากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท มาตั้งบริษัทอยู่ที่นี่แล้วมากถึง 4 บริษัท ได้แก่
ด้วยพื้นที่กว่า 200,000 ตร.ม. ของทรู ดิจิทัล พาร์ค ทำให้เราพร้อมรองรับสตาร์ตอัปและผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ด้วยการเป็นระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัปที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วยผลักดันสตาร์ตอัป ผู้ประกอบการ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ นักลงทุน ที่ปรึกษา สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล
ยิ่งไปกว่านั้น ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังมี Startup Sandbox โปรแกรมที่ช่วยแนะนำทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้น startup นับตั้งแต่การหาแนวคิด สร้างผลิตภัณฑ์ pitching รู้จักกับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ ไปจนถึงการระดมเงินทุน ฯลฯ เพราะนี่คือพื้นที่ที่คุณสามารถพัฒนาตัวเองเพื่อนำ startup ที่คุณกำลังสร้างไปสู่เป้าหมายในอนาคตได้สำเร็จ หากคุณต้องการปรึกษาเรา คลิกที่นี่
Tags